เมนู

3. มหากัจจานภัทเทกรัตตสูตร



สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่พระวิหารตโปทาราม เขต-
พระนครราชคฤห์. ครั้งนั้นแล ท่านพระสมิทธิลุกขึ้นในราตรีตอนใกล้รุ่ง
เข้าไปยังสระตโปทะเพื่อสรงสนานร่างกาย. ครั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงกลับ
ขึ้นมานุ่งสบงผืนเดียว ยืนผึ่งตัวให้แห้งอยู่. ฉะนั้นล่วงปฐมยามไปแล้ว มี
เทวดาตนหนึ่ง มีรัศมีงาม ส่องสระตโปทะให้สว่างทั่ว เข้าไปหาท่านพระ
สมิทธิยังที่ที่ยืนอยู่นั้น แล้วได้ยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
[549] เทวดานั้น พอยืนเรียบร้อยแล้ว จึงกล่าวกะท่านพระสมิทธิ
ดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุ ท่านทรงจำอุเทศและวิภังค์ของบุคคลผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ
ได้ไหม.
ท่านพระสมิทธิกล่าวว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ เราทรงจำไม่ได้ ก็ท่าน
ทรงจำได้หรือ.
เท. ดูก่อนภิกษุ แม้ข้าพเจ้าก็ทรงจำไม่ได้ และท่านทรงจำคาถา
แสดงราตรีหนึ่งเจริญได้ไหม.
ส. ดูก่อนท่านผู้มีอายุ เราทรงจำไม่ได้ ก็ท่านทรงจำได้หรือ.
เท. ดูก่อนภิกษุ แม้ข้าพเจ้าก็ทรงจำไม่ได้ ขอท่านจงเล่าเรียน และ
ทรงจำอุเทศและวิภังค์ของบุคคลผู้มีราตรีหนึ่งเจริญเถิด เพราะอุเทศและวิภังค์
ของบุคคลผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ ประกอบด้วยประโยชน์เป็นเบื้องต้นแห่งพรหม-
จรรย์.

เทวดานั้น กล่าวดังนี้แล้ว จึงหายไป ณ ที่นั้นเอง.
[550] ครั้งนั้นแล ท่านพระสมิทธิ พอล่วงราตรีนั้นไปแล้ว จึง
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ายังที่ประทับ ครั้นแล้วจึงถวายอภิวาทพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มี
พระภาคเจ้าดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อคืนนี้ตอนใกล้รุ่ง ข้าพระองค์
ลุกขึ้นเข้าไปยังสระตโปทะเพื่อสรงสนานร่างกาย ครั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึง
กลับมานุ่งแต่สบงผืนเดียวยืนผึ่งตัวให้แห้งอยู่. ขณะนั้นล่วงปฐมยามไปแล้ว
เทวดาองค์หนึ่ง มีรัศมีงามส่องสระตโปทะให้สว่างทั่ว เข้าไปหาข้าพระองค์ยัง
ที่ที่ยืนอยู่นั้น แล้วยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอยืนเรียบร้อยแล้ว ได้กล่าว
กะข้าพระองค์ดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุ ท่านทรงจำอุเทศและวิภังค์ของบุคคลผู้มี
ราตรีหนึ่งเจริญได้ไหม. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อเทวดานั้นกล่าวแล้วอย่างนี้
ข้าพระองค์ได้กล่าวกะเทวดานั้นดังนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ เราทรงจำไม่ได้
ท่านทรงจำได้หรือ. เทวดานั้นกล่าวว่า ดูก่อนภิกษุแม้ข้าพเจ้าก็ทรงจำไม่ได้
และท่านทรงจำคาถาแสดงราตรีหนึ่งเจริญได้ไหม. ข้าพระองค์ตอบว่า ดูก่อน
ท่านผู้มีอายุ เราทรงจำไม่ได้ ก็ท่านทรงจำได้หรือ. เทวดานั้นกล่าวว่า ดูก่อน
ภิกษุ แม้ข้าพเจ้าก็ทรงจำไม่ได้ ขอท่านจงเล่าเรียน และทรงจำอุเทศและ
วิภังค์ของบุคคลผู้มีราตรีหนึ่งเจริญเถิด เพราะอุเทศและวิภังค์ของบุคคลผู้มี
ราตรีหนึ่งเจริญ ประกอบด้วยประโยชน์ เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์.
เทวดานั้นกล่าวดังนี้แล้ว จึงหายไป ณ ที่นั้นเอง. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าได้โปรดแสดงอุเทศและวิภังค์ของบุคคลผู้มีราตรีหนึ่ง
เจริญ แก่ข้าพระองค์เถิด.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ถ้าเช่นนั้น เธอจงพึง จงใส่
ใจให้ดี เราจักกล่าวต่อไป. ท่านพระสมิทธิทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ชอบ
แล้ว พระพุทธเจ้าข้า.
[551] พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสดังนี้ว่า
บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว
ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง สิ่งใดล่วง
ไปแล้ว สิ่งนั้นเป็นอันละไปแล้ว และ
สิ่งที่ยังไม่มาถึง ก็เป็นอันยังไม่ถึง ก็
บุคคลใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบันไม่ง่อนแง่น
ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้น ๆ ได้ บุคคล
นั้น พึงเจริญธรรมนั้นเนื่อง ๆ ให้ปรุโปร่ง
เถิด พึงทำความเพียรเสียในวันนี้แหละ
ใครเล่าจะรู้ความตายในวันพรุ่ง เพราะว่า
ความผัดเพี้ยนกับมัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้น
ย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลายพระมุนีผู้สงบย่อม
เรียกบุคคลผู้มีปกติอยู่อย่างนี้ มีความ
เพียรไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืน
นั้นแลว่า ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ ครั้นแล้วพระสุคตจึงทรง
ลุกจากอาสนะ เสด็จเข้าไปยังพระวิหาร.

พวกภิกษุปรึกษากันถึงอุเทศ


[552] ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จหลีกไปแล้วไม่นาน ภิกษุเหล่า
นั้นจึงได้มีข้อปรึกษากันอย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงแสดงอุเทศโดยย่อแก่พวกเราว่า.
บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว
ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง สิ่งใดล่วง
ไปแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้วและสิ่ง
ที่ยังไม่มาถึง ก็เป็นอันยังไม่ถึง ก็บุคคล
ใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบันไม่ง่อนแง่น ไม่
คลอนแคลนในธรรมนั้น ๆได้ บุคคลนั้น
พึงเจริญธรรมนั้นเนือง ๆ ให้ปรุโปร่งเถิด
พึงทำความเพียรเสียในวันนี้แหละ ใคร
เล่าจะรู้ความตายในวันพรุ่ง เพราะว่าความ
ผัดเพี้ยนกับมัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้น ย่อม
ไม่มีแก่เราทั้งหลาย พระมุนีผู้สงบ ย่อม
เรียกบุคคลผู้มีปกติอยู่อย่างนี้ มีความ
เพียรไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืน
นั้นแลว่า ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ.

ดังนี้แล มิได้ทรงจำแนกเนื้อความโดยพิสดาร ก็ทรงลุกออกจาก
อาสนะเสด็จเข้าไปยังพระวิหาร ใครหนอแลจะพึงจำแนกเนื้อความแห่งอุเทศที่
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงโดยย่อนี้ให้พิสดารได้. ครั้งนั้นแล ภิกษุเหล่านั้น
ได้มีความคิดอย่างนี้ว่าท่านพระมหากัจจานะนี้แล อันพระศาสดาและพวกภิกษุ